หากพูดถึงการสร้างรายได้เสริมที่คนมักจะนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับการลงทุน แต่จะลงทุนอะไรดี? บางคนลงทุนไปกับความรู้ ทักษะใหม่ๆ บางคนอาจลงทุนในทางสุขภาพ และก็มีไม่น้อยที่เลือกลงทุนกับการเทรดหุ้นออนไลน์ ใครที่กำลังสนใจจะเทรดหุ้นออนไลน์อยู่ ยินดีด้วยคุณเจอบทความที่ตอบโจทย์แล้ว เพราะบทความนี้จะพาคุณไปเริ่มต้นการลงทุนในหุ้นออนไลน์ตั้งแต่เปิดพอร์ต ไปจนถึงการวิเคราะห์เบื้องต้น เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดลงทุนหรือต้องการทบทวนความรู้ก็ตาม
ทำไมต้องเทรดหุ้นออนไลน์? เข้าใจข้อดีและโอกาสที่จะได้รับ
- เทรดหุ้นออนไลน์คืออะไร? การเทรดหุ้นออนไลน์ คือการซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ตลาดหลักทรัพย์เอง
- อธิบายเพิ่มเติมคือเราสามารถซื้อและเป็นเจ้าของหุ้นทางออนไลน์และก็จะได้รับส่วนแบ่งกำไรของบริษัทในรูปของเงินปันผล หรือ ทำกำไรจากการขายหุ้นในราคาที่สูงขึ้นได้อีกด้วย
- ข้อดีของการเทรดหุ้นออนไลน์
- การเทรดหุ้นออนไลน์คือรูปแบบของการลงทุนที่สะดวกสบายและรวดเร็ว เพราะการซื้อขายหุ้นและธุรกรรมทั้งหมดเกินขึ้นผ่านอินเตอร์เน็ต ดังนั้นเราจึงสามารเทรดหุ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา
- การเทรดหุ้นออนไลน์มักจะมีค่าธรรมเนียมต่ำหรือที่เราคุ้นหูว่าค่าคอมมิชชั่นนั่นเอง ยิ่งค่าคอมฯ ต่ำ ก็เท่ากับโอกาสในการรับกำไรสูง
- การเทรดหุ้นออนไลน์มีเครื่องมือและข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์พร้อมให้บริการ เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องไปสอบถามข้อมูลของหุ้นจากโบรกเกอร์ผ่านทางโทรศัพท์เหมือนในอดีต
- เทรดหุ้นออนไลน์นั้นไม่มีข้อจำกัดในการเลือกซื้อขาย เราสามารถเทรดหุ้นของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกตามที่เราต้องการ
- โอกาสและแนวโน้มของการเทรดหุ้นออนไลน์
- ในอนาคตมีแหล่งข้อมูลรายแห่งมองเป็นทิศทางเดียวกันว่า เทคโนโลยี AI และ Machine Learning จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเทรดเดอร์ในการลงทุนรูปแบบต่างๆ เช่น ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง เป็นต้น
- ในโลกของธุรกิจย่อมมีการแข่งขันเป็นเรื่องธรรมดา มีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ การเทรดหุ้นก็เปรียบเสมือนโอกาสในการเลือกถือฝั่งที่เรามองว่ามีแนวโน้มชนะในตลาดในระยะยาว
- แม้ว่าบางครั้งการเติบโตของหุ้นทั่วโลกอาจจะมีจังหวะชะงักให้เห็นอยู่บ้าง แต่โดยภาพรวมขนาดใหญ่ถือว่าโอกาสไปต่อค่อนข้างสูง ดังนั้นสบายใจที่จะลงทุนเทรดระยะยาวได้เต็มที่
ก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุน เปิดพอร์ตหุ้นออนไลน์ง่ายนิดเดียว
เมื่อมองเห็นข้อดีต่างๆ และโอกาสของการเทรดหุ้นออนไลน์แล้ว อย่ารอช้ากันอีกต่อไป เรามาเริ่มต้นในการเทรดหุ้นออนไลน์กันเลยดีกว่า เบื้องต้นเราควรทำอะไรหากต้องการเทรดหุ้นออนไลน์ จะมีขั้นตอนอะไรอย่างไรบ้าง หัวข้อนี้จะเป็นไกด์ไลน์ให้คุณเอง
การเลือกโบรกเกอร์หุ้นที่เหมาะสม
- หากสกิลการเทรดเปรียบเป็นการชกมวย โบรกเกอร์ก็เปรียบเสมือนค่ายมวยนั่นเอง เพราะเป็นทั้ง ผู้คอยจัดหาสนามแข่ง(กระดานเทรด) อุปกรณ์ซ้อมมวย (เครื่องมือเทรด+แพลตฟอร์มเทรด) สปอนเซอร์(ซัปพอร์ตให้คำปรึกษา)
- การที่เราเลือกใช้โบรกเกอร์ที่ดีนั้น จะทำให้การเทรดหุ้นออนไลน์ของเรา ราบรื่น เหมือนมีคู่หูที่ดีคอยให้คำแนะนำ คำปรึกษา
- แล้วโบรกเกอร์ที่ดีมีปัจจัยอะไรบ้าง?
- ใบอนุญาตและการกำกับดูแล : แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ควรพิจจารณาคือ ใบอนุญาตและการกำกับดูแลที่ได้รับการรับรองที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าโบรกเกอร์ดำเนินงานอย่างถูกต้องและมีมาตรฐาน
- ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ : ประวัติและความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ รวมถึงทีมงานผู้บริหาร คือสิ่งที่เราต้องทำการบ้านก่อนที่จะเลือกใช้โบรกเกอร์ใดก็ตาม อย่างน้อบรู้ประวัติของงบุคลากรของโบรกเกอร์นั้นๆ เพื่อความน่าเชื่อถือ
- ฐานะทางการเงิน : ตรวจสอบความมั่นคงทางการเงินของโบรกเกอร์ ทั้งนี้ก็เพื่อดูว่าโบรกเกอร์มีความสามารถในการชำระหนี้และดูแลเงินลงทุนของเราได้หรือไม่ ซึ่งความสามารถตรงนี้จะมีหน่วยงาน ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนดเกณฑ์ตัวเลขสภาพคล่องสุทธิในรายงานประจำปีของแต่ละโบรกเกอร์
- ค่าธรรมเนียม : ปัจจัยหนึ่งที่ห้ามมองข้ามคือเรื่องของค่าธรรมมเนียในการเทรด เพราะมันคือเรื่อง เงินๆ ทองๆ ในระยะยาวดังนั้นตรวจสอบให้ชัดเจนว่าโบรกเกอร์ที่เราสนใจมีค่าธรรมเนียมเหมาะกับเราหรือไม่
- แพลตฟอร์มการซื้อขาย : แพลตฟอร์มการซื้อขายของโบรกเกอร์จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเทรดหุ้นออนไลน์ หากเครื่องทอเทรดมีประสิทธิภาพ มีความสเถียร ใช้งานง่าย เหมือนขาข้างหนึ่งของเราชนะการเทรดไปแล้ว
- บริการ : ลองคิดดูว่าหากเราใช้บริการกับโบรกเกอร์ที่พนักงานไม่เต็มใจบริการ อีกทั้งยังเลี่ยงที่จะให้คำปรึกษาคำแนะนำ ข้อมูลต่างๆ ก็บอกไม่ครบถ้วน เท่านี้ก็น่าจะพอมองเห็นความลำบากและปัญหาที่จะตามมาแล้ว
โบรกเกอร์ที่ดีมีปัจจัยอะไรบ้าง?
- โบรกเกอร์ไหนบ้างล่ะที่น่าสนใจ อัพเดทจากปี 2024 … ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจแบบก่อนว่า โบรกเกอร์เทรดหุ้นนั้นหลักมี 2 ประเภทคือ
- บริษัทหลักทรัพย์โบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น : โบรกเกอร์ประเภทนี้คือการซื้อขายหุ้น แบบที่เราเข้าใจกันดี เทรดเดอร์เป็นเจ้าของหุ้นจริงจากการซื้อขาย ตัวอย่างโบรกเกอร์ประเภทนี้
- บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง : คนไทยคุ้นเคยกันดีในนามของธนาคารกรุงเทพ เพราะโบรกเกอร์นี้ธนาคารกรุงเทพถือหุ้นใหญ่และเป็นเจ้าของ มีแอปใช้งานง่าย ฟีเจอร์ครบครัน ค่าธรรมเนียมไม่แพง
- โบรกเกอร์ซื้อขายอนุพันธ์บนหุ้น : หรือที่เรียกอีกอย่างว่า CFD ก็คือโบรกเกอรี่ให้ข้อมูลราคาหุ้นและเทรดเดอร์เน้นเก็งกำไรจากราคาของหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นนั้นจริงๆ ส่วนหใญ่ก็จะเป็นโบรกเกอร์เดียวกับที่เทรด Forex , เทรดน้ำมัน , ทองคำ นั่นเอง
- XM
- IC Markets
- หากโบรกเกอร์ที่เรามองแล้วมีปัจจัยตามที่ได้กล่าวมา ก็ถือว่าสอบผ่านในการเป็นโบรกเกอร์ที่ดีได้ สิ่งสำคัญคืออย่าใจร้อนในการเลือกใช้โบรกเกอร์ควรหาข้อมูลให้ครบถ้วนและเลือกใช้ที่ถูกใจไปยาวๆ
ขั้นตอนการเปิดพอร์ตเทรดหุ้นออนไลน์
- เมื่อเรามีโบรกเกอร์ในใจแล้วว่าจะใช้บริการ ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการสมัครเพื่อเปิดพอร์ตสำหรับเทรดหุ้นออนไลน์
- โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนในการเปิดพอร์ตนี้ก็มีรูปแบบที่คล้ายๆ กันในทุกโบรกเกอร์ ซึ่งหลักจะมี 3 ขั้นตอนในการเปิดพอร์ตคือ
- กรอกข้อมูลเพื่อเปิดพอร์ตตามหน้าเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ที่ให้บริการ
- ยืนยันตัวตน ในส่วนนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่ามีกี่แบบ อย่างไรบ้าง
- รอทางโบรกเกอร์อนุมัติเปิดพอร์ตของเรา
- อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่า ในบรรดาขั้นตอนการเปิดพอร์ตเทรดหุ้นนั้น จะมีขั้นตอนการยืนยันตัวตนที่ทางโบรกเกอร์จะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมากกว่าส่วนอื่นๆ ดังนั้น เทรดเดอร์ควรให้ความร่วมมือตามรูปแบบของการยืนยันตัวตน ดังนี้…
- ยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (NDID) คือ ระบบที่ช่วยยืนยันตัวตนออนไลน์ โดยไม่ต้องใช้เอกสาร ระบบนี้ทำงานโดยการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีข้อมูลของเรา เช่น ธนาคาร ซึ่งจะนำข้อมูลของเราจากธนาคารเพื่อมาตรวจสอบนั่นเอง
- ยืนยันตัวตนผ่านจุดบริการ รูปแบบนี้จะมีความผสมระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ คือเราจะกรอกข้อมูลในแอพพลิเคชั่นของโบรกเกอร์แล้วจากนั้นก็ยืนยันตัวตนตามสถานที่ที่ทางโบรกเกอร์เปิดให้บริการยืนยันตัวตน เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิสใน 7-11 , จุดบริการ Krungsri i-CONFIRM เป็นต้น
- ยืนยันตัวตนที่สาขาของโบรกเกอร์ผู้ให้บริการ รูปแบบนี้คล้ายกับแบบจุดบริการเพียงแค่ว่ามีจำนวนสถานที่จำกัดกว่า แต่ตรงเป้าหมายกว่าเพราะเราไปถึงสถานที่จริงเพื่อยืนยันตัวตน
- ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าโบรกเกอร์ใดมีขั้นตอนและวิธีในการยืนยันตัวตนอย่างไรบ้าง เพราะขั้นตอนของงแต่ละโบรกเกอร์นั้นมีไม่เหมือนกัน เช่น
- โบรกเกอร์ของบัวหลวง มีบริการผ่าน 7-11 ส่วนของ กรุงศรีมีบริการผ่านจุดที่กำหนดเอง เป็นต้น
- ในส่วนของการรออนุมัตินั้น ส่วนใหญ่แล้วโบรกเกอร์จะใช้เวลาภายใน 224 ชั่วโมงหากข้อมูลของเราถูกต้องและยืนยันตัวตนได้อย่างสมบูรณ์
ขั้นตอนการเปิดพอร์ตเพื่อเทรดหุ้นออนไลน์
คำแนะนำสำหรับมือใหม่ เริ่มต้นด้วยเงินเท่าไหร่ดี?
- จริงอยู่ที่ว่า การเทรดหุ้นออนไลน์ในปัจจุบันนั้นไม่มีการกำหนดเงินขั้นต่ำในการเริ่มต้นเทรด แต่เราก็ต้องพิจารณาว่าจำนวนเงินที่เหมาะสมในการเริ่มต้นเทรดหุ้นออนไลน์นั้น ควรจะมีประมาณหนึ่งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ง่าย
- ปัจจัยในการพิจารณาจำนวนเงินลงทุน
- เงินที่คุณสามารถนำมาลงทุนได้โดยไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน
- เป้าหมายในการเทรดหุ้น ว่าเราต้องการเทรดหุ้นเพื่ออะไร? เก็งกำไรสั้น ยาวๆ หรือเพื่อเกษียณ
- ทัศนคติในการรับความเสี่ยงของตัวเอง
- จากข้อมูลที่รวบรวมทั้งในประสบการณ์จริงและอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เงินลงทุนที่พอดีในการเริ่มต้นนั้นมีจำนวนประมาณ 5,000-10,000 บาท เพื่อได้ทดลองเรียนรู้และทำความเข้าใจกับตลาด และสามารถเห็นผลลัพธ์จากการลงทุนได้ชัดเจน
รู้จักเครื่องมือการเทรดหุ้นที่สำคัญ
ก่อนที่เราจะไปสู่ขั้นตอนการวิเคราะห์ ก็อยากจะแนะนำเครื่องมือสำหรับการเทรดหุ้นให้เทรดเดอร์ทั้งหลายได้รู้จักก่อน เผื่อว่ามีใครได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ ก็จะได้คุ้นเคยกับมันได้เร็วขึ้น
แพลตฟอร์มการเทรดออนไลน์
- ในส่วนนี้จะขอหยิบเอาแพลตฟอร์มการเทรดหุ้นออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมานำเสนอและเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของฟีเจอร์การใช้งานและคุณสมบัติเด่น
- Streaming : ครบเครื่องเรื่องการลงทุน
- Streaming โดดเด่นด้วยฟังก์ชันที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหุ้น การดูพอร์ต หรือการวิเคราะห์ข้อมูล
- SETSMART ฟีเจอร์เด่นของ Streaming เครื่องมือวิเคราะห์หุ้นสุดเจ๋ง ที่รวบรวมข้อมูลเชิงลึกมาให้แบบจัดเต็ม ช่วยให้นักลงทุนค้นหาหุ้นได้ง่ายขึ้น
- DCA Order ฟังก์ชันของ Streaming ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถออมหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ โปรแกรมจะซื้อหุ้นให้อัตโนมัติ ตามการตั้งค่าระยะเวลาและเงินทุน
- Conditional Order เครื่องมือวางแผนการเทรดล่วงหน้า ช่วยให้ควบคุมความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
- eFin Stock Pickup : สำหรับนักเทคนิคัลตัวจริง
- eFin Stock Pickup คือโปรแกรมซอฟต์แวร์ในการใช้วิเคราะห์เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นและอื่นๆ โปรแกรมนี้รวบรวมฟังก์ชันที่ครอบคลุมทุกมิติของการวิเคราะห์หุ้น ตั้งแต่การดูเทคนิคัล การศึกษาปัจจัยพื้นฐาน ไปจนถึงการค้นหาข่าวสารที่เกี่ยวข้อง
- เห็นคำว่าซอฟต์แวร์…ใช่แล้วโปรแกรมนี้เน้นรองรับบนคอมพิวเตอร์ PC เป็นหลัก ด้วยคุณสมบัติดังนี้
- อินดิเคเตอร์กว่า 130 ชนิด รวมถึงอินดิเคเตอร์ที่พัฒนาขึ้นเองโดยเฉพาะ ทำให้สามารถวิเคราะห์กราฟได้อย่างละเอียด
- รับข่าวสารล่าสุดจาก efinanceThai และยังสามารถค้นหาข่าวเก่าได้ย้อนหลังถึง 1 ปี เทรดเดอร์จะเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาหุ้นนั้นๆ ได้อย่างดี
- วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของบริษัทได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน สถิติการซื้อขาย หรือปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ค้นหาหุ้นที่น่าสนใจได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเครื่องมือคัดกรองหุ้นที่หลากหลาย
- TradingView x InnovestX : การร่วมมือของ 2 ยักษ์วงการการเงิน
- เมื่อ 2 ยักษ์ใหญ่จับ มือกันTrading View คือแพลตฟอร์มการเทรด การวิเคราะห์และติดตามตลาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก กับ InnovestX ซึ่งเป็นโบรกเกอร์เทรดหุ้นที่มีชื่อเสียงของไทย
- เกิดเป็นแพลตฟอร์มการเทรดหุ้น หน้าเก่าแต่ฟังก์ชั่นใหม่ ที่สามารถเทรดหุ้นไทย และ TFEX บนแพลตฟอร์ม Trading view โดยเชื่อมบัญชีกับ InnovestX
- คุณสมบัติของแพลตฟอร์มนี้ ที่โดดเด่น…
- กราฟมากกว่า 20 ประเภทพร้อมเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคอล
- อินดิเคเตอร์กว่า 400+ ตัว รองรับการเทรดที่หลากหลายและมี custom-built indicator
- มีฟีเจอร์คัดเลือกหุ้นให้เทรดเดอร์ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ทั้ง ข่าวสาร, งบการเงิน, และการวิเคราะห์กราฟ
- เทรดเดอร์คนไหนมีความรู้เรื่องพัฒนาซอฟต์แวร์ สามารถพัฒนา indicator ได้ด้วยตัวเองโดยการใช้ Pine script language
- แพลตฟอร์มที่นำเสนอนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหลายๆ แพลตฟอร์มเทรดหุ้นในโลกนี้ ที่หยิบมาเพียงเท่านี้เพราะอยากนำเสนอความน่าสนใจโดยรวมเท่านั้น ซึ่งเทรดเดอร์สามารถหาแพลตฟอร์มเพิ่มเติมได้เองตามสะดวก
การวิเคราะห์หุ้นเบื้องต้น
ในที่สุดก็เข้ามาในส่วนท้ายของบทความนี้กันแล้ว ซึ่งจะเป็นหัวข้อในเรื่องการวิเคราะห์หุ้นกันบ้าง ว่ามีวิธีอะไรบ้าง? ซึ่งสำหรับมือใหม่นั้น ทางทีมงานขั้นเทพจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือวิเคราะห์พื้นฐานและวิเคราะห์ทางเทคนนิค
การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis)
- การวิเคราะห์พื้นฐาน คือ การวิเคราะห์ปัจจัยภายในของบริษัท เพื่อดูว่าบริษัทนั้นๆ มีสุขภาพแข็งแรง(ทางการเงิน)แค่ไหน มีโอกาสเติบโตมากน้อยเพียงใดเช่น
- งบการเงิน : บริษัททำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน มีหนี้สินมากน้อยแค่ไหน และมีกระแสเงินสดเป็นอย่างไร
- ผลิตภัณฑ์ : ผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักขอบริษัทนั้นคืออะไร มีแนวโน้มความนิยมในอนาคตมากเพียงใด
- การแข่งขันในตลาด : ธุรกิจนี้มีคู่แข่งเยอะหรือไม่ ความเข้มข้นในการแข่งขันเป็นอย่างไร
- และพิจารณาปัจจัยภายนอก ที่จะส่งผลทั้งดีและเสียแก่บริษัท เช่น
- สภาพเศรษฐกิจ : เศรษฐกิจของประเทศมีผลต่อบริษัทมากน้อยแค่ไหน
- กฎหมาย : กฎหมายของประเทศ เช่น การส่งออก/นำเข้า มีความเอื้ออำนวยต่อบริษัทแค่ไหน
- นโยบายต่างๆ : นโยบายของรัฐจะมาช่วยหรือปิดโอกาส
- ปัจจัยเหล่านี้มันมีความสำคัญอะไร? ความสำคัญก็เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทและคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคต เราก็จะได้รู้ว่าควรซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่ ในเวลาตอนนั้น
- การวิเคราะห์พื้นฐานก็เหมือนกับการตรวจสุขภาพบริษัท ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน หากบริษัทมีสุขภาพแข็งแรง มีผลประกอบการที่ดี และมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ก็มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี
- ซึ่งการวิเคราะห์พื้นฐานนี้ อาจรวมถึงการติดตามข่าวสารไม่ว่าจะเป็นข่าวเศรษฐกิจ การเมือง หรือข่าวสารภายในบริษัท ล้วนมีผลกระทบต่อราคาหุ้นทั้งสิ้น
- การจับตาดูข่าวสารจึงเป็นเหมือนเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและมีข้อมูลที่ถูกต้อง
การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) คืออะไร?
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
- ในส่วนของการวิเคราะห์พื้นฐานที่กล่าวไปก่อนหน้า มันอาจจะให้ข้อสรุปว่า หุ้นตัวไหนควรซื้อหรือไม่ควร แต่ การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น จะให้รายละเอียดเชิงลึกในการซื้อขายหุ้น เช่น ควรซื้อหุ้นจำนวนเท่าไหร่ เวลาไหน เหมือนการหาจังหวะเข้าซื้อนั่นเอง
- อธิบายเพิ่มเติมก็คือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือความรู้ในการศึกษาพฤติกรรมของราคาหุ้นในอดีตมาเป็นตัวช่วยในการคาดการณ์ราคาในอนาคต เช่น
- เห็นแพทเทิร์นกราฟราคาแบบนี้ มีแนวโน้มว่าราคาจะขึ้นก็เข้าซื้อหุ้น
- เห็นกราฟแท่งเทียนแบบนี้ มีแนวโน้มว่าราคาจะลงก็ขายหุ้นไปก่อน
- การวิเคราห์ทางเทคนิคนั้นมีรายละเอียดเยอะมาก หากศึกษาแบบทะลุปุโปร่ง แต่ในที่นี้ เราจะบอกแค่แนวทางหรือการในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเบื้องต้นว่ามีอะไรบ้าง
- ศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขาย
- ทำความเข้าใจ 4 ระยะของราคา คือ สะสม ขาขึ้น แจกจ่าย และขาลง
- ให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขาย เพราะปริมาณสามารถยืนยันแนวโน้มได้
- ใช้แนวรับแนวต้านกำหนดจุดเข้าซื้อและขาย หากราคาทะลุผ่านจุดเหล่านี้ ราคามักจะไปต่อในทิศทางนั้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ใช้เครื่องมือตัวชี้วัด Indicator ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด ณ ตอนนั้น
- รูปทรงของกราฟบ่งบอกพฤติกรรมราคาที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ การเข้าใจ Chart Pattern ช่วยประเมินจุดกลับตัวของแนวโน้มได้ชัดเจนขึ้น
- ดูข้อมูลจากหลาย Time Frame ช่วยมองเห็นแนวโน้มระยะสั้น กลาง และยาว
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) คืออะไร?
- จากหลักการหรือแนวทางที่ได้กล่าวไป เชื่อว่าเทรดเดอร์มือใหม่อาจจะยังงงๆ กับคำศัพท์เหล่านี้…
- วัฏจักรราคาหุ้น 4 ระยะคือ
ระยะสะสม นักลงทุนรายใหญ่จะค่อยๆ ซื้อหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาต่ำ แต่ปริมาณการซื้อจะเยอะ
ระยะขาขึ้น มีปัจจัยเข้ามาสนับสนุน เช่น ข่าวดีของบริษัท ราคาหุ้นจะเริ่มขยับสูงขึ้นและมีปริมาณการซื้อขายที่เยอะ
ระยะแจกจ่าย หลังจากราคาขึ้นไปสูงสุดแล้ว นักลงทุนจะเริ่มทยอยขายออก ทำให้ราคาเริ่มทรงตัวหรือขยับน้อยๆ
ระยะขาลง เมื่อไม่มีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุน ราคาหุ้นจะเริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหรือโดนย้ำด้วยข่าวร้ายของบริษัทก็เป็นได้
- แนวรับ แนวต้าน
แนวรับ คือ ระดับราคาที่เหมือนกำแพงกั้นไม่ให้ราคาหุ้นตกลงไปต่ำกว่านี้ได้ เพราะราคาจุดนี้มีนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาซื้อหุ้น
แนวต้าน คือ ระดับราคาที่เหมือนเพดานกั้นไม่ให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้สูงกว่านี้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าราคานี้ควรขายได้แล้ว
- Chart Pattern คือ รูปแบบของราคาที่มักเกิดขึ้นให้เห็นรูปแบบนี้อยู่บ่อยๆ จนนักลงทุนจำได้และตั้งชื่อให้
- Time Frame คือกรอบเวลาของราคาหุ้นในแต่ละช่วนซึ่งสามารถดูแนวโน้มในระยะสั้น กลาง ยาว
- Indicator คือ เครื่องมือที่นักลงทุนนำมาใช้ในการวิเคราะห์กราฟราคา เพื่อช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของตลาดและคาดการณ์แนวโน้มได้แม่นยำขึ้น ซึ่ง Indicator นั้นมีหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้กันแพร่หลายก็ เช่น
Relative Strength Index (RSI): วัดความแรงของตลาดว่าอยู่ในสภาวะซื้อเกินหรือขายเกิน
Moving Average (MA): ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ช่วยแสดงแนวโน้มราคาในระยะเวลาต่างๆ
MACD (Moving Average Convergence Divergence): เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 ตัว เพื่อหาสัญญาณซื้อขาย
Bollinger Bands: แสดงความผันผวนของราคา
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการเรียนรู้นานกว่าแบบพื้นฐาน เพราะเทรดเดอร์ต้องทดลองใช้ทักษะการวิเคราะห์เชิงเทคนิคนี้กับสถานการณ์จริง จึงจะยิ่งทำให้เข้าใจได้เร็ว
สรุป
การเทรดหุ้นออนไลน์เป็นทางเลือกในการสร้างรายได้รูปแบบที่ผู้คนให้ความนิยมและสืบทอดมายาวนาน การจะเริ่มต้นในการเทรดหุ้นออนไลน์นั้น อันดับแรกอย่าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เปิดใจเรียนรู้ตั้งแต่การเปิดพอร์ต ศึกษาทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังทุนนั้นคืออะไร มีรูปแบบไหนบ้างเหมือนที่ได้กล่าวไว้ในเนื้อหาด้านบน ก่อนจะที่จะจบด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับกับการวิเคราะห์เบื้องต้น เพราะสิ่งเหล่านี้คือพื้นฐายที่สำคัญมากๆ สำหรับคนที่คิดจะเริ่มต้นเทรดหุ้นออนไลน์ ดังงนั้นหวังว่าจะมีเทรดเดอร์หุ้นหน้าใหม่เติบโตในวงการหลังจจากที่ได้อ่านบทความนี้ พร้อมกับกอบโกยกำไรมหาศาลเข้ากระเป๋าได้ยาวๆ