ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความเดือดดาลมากขึ้นทุกๆ วัน การจะประสบความสำเร็จในการขายสินค้าและบริการนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจจะต้องมีวิธีการขายสารพัดแบบเพื่อดึงดูดลูกค้าและเม็ดเงินเข้ามายังธุรกิจให้มากที่สุด ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าวิธีการขายหรือวิธีการทำการตลาดนั้น มันไม่มีคำตอบตายตัวว่าอันนี้ผิดอันนี้ถูก มันมีแค่ว่า ณ ปัจจุบันสิ่งนี้ทำแล้วเกิดผลดีกว่า ดังนั้น วิธีขายสินค้าหรือทำการตลาดจึงมีหลากหลายรูปแบบให้เราเลือกใช้ เจ้าของธุรกิจต้องเลือกวิธีขาย การทำการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจให้มากที่สุด
แต่ในที่นี้เรากำลังจะเสนอรูปแบบและแนวคิด 20 วิธีขายของและการทำการตลาดสุดเจ๋ง เพื่อเป็นไอเดียหรือแนวทางในการต่อยอดธุรกิจที่ทำอยู่ให้เติบโตกว่าเดิม จะมีวิธีไหน แนวทางใดบ้าง ก็ไปรับชมพร้อมกันเลยดีกว่า
รวม 20 วิธีขายของและทำการตลาด เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ปังๆ
1. รู้เขา รู้เรา
- การรู้จักสินค้าและลูกค้าของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจจุดเด่นและจุดด้อยของสินค้า
- การวิเคราะห์สินค้าอย่างละเอียดจะช่วยให้เห็นภาพรวมว่าจุดแข็งของสินค้าคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ ราคา หรือความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
- การรับรู้จุดด้อยจะทำให้เราสามารถปรับปรุงและพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น
- การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งรวมถึงการทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า การศึกษาลูกค้าในเชิงลึกจะทำให้คุณรู้ว่าใครคือกลุ่มลูกค้าหลัก
- พวกเขาต้องการอะไร
- พวกเขามีพฤติกรรมการซื้อสินค้าอย่างไร
- ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เมื่อเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าแล้ว เราก็สามารถปรับปรุงการนำเสนอสินค้า การโฆษณา และการให้บริการให้ตรงกับความคาดหวังของลูกค้า
การ รู้จักธุรกิจและกลุ่มลูกค้า คือพื้นฐานการขายสินค้าที่ดี
2. ช่องทางที่ใช่
- ก่อนที่เราจะเริ่มขายสินค้าบางอย่างนั้น เราควรศึกษาช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของแต่ละช่องทาง
- ข้อดีของการขายออนไลน์คือ
- สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก
- มีความยืดหยุ่นในการตลาดสูง
- มีแพลตฟอร์มการขายที่มีคุณสมบัติโดดเด่น เช่น การโปรโมทช่วงโปรโมชั่น
- ประหยัดต้นทุนของการทำหน้าร้าน
- ข้อดีของการขายออฟไลน์คือ
- ลูกค้าได้สัมผัสสินค้าและบริการโดยตรง
- ได้ทดลองใช้สินค้า
- หลังจากศึกษาช่องทางต่างๆ แล้วเราก็ควรเลือกช่องทางที่เข้าถึงลูกค้าได้ดีที่สุด โดยพิจารณาจากกลุ่มเป้าหมายและพฤติกรรมการซื้อรวมไปถึงสินค้าของเรา ว่าช่องทางไหนตอบโจทย์ที่สุด
- เช่น หากธุรกิจของเราคือเสื้อผ้าเด็ก ก็อาจจะต้องเลือกช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แต่อาจจะเน้นทางออนไลน์เป็นหลักเพราะพฤติกรรมลูกค้ามาจากโซเชียลมีเดีย
- ธุรกิจยานยนต์ อุปกรณ์ทางการเกษตรขนาดใหญ่ ความเหมาะสมในช่องทางการขายอาจจะไปทางออฟไลน์มากกว่า เพราะพฤติกรรมลูกค้ารวมถึงช่องทางซื้อขายเกิดขึ้นหน้าร้านมากกว่า
3. Content is King
- Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ Content is King “
- ประโยคด้านบนหมายถึงเนื้อหาของการนำเสนอคือราชาตัวจริงในการขาย
- การสร้างคอนเทนต์เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการนอกจากจะทำให้เกิดไวรัลในโซเชียลได้ง่ายและรวดเร็วแล้วลูกค้ายังจดจำสินค้ารวมไปถึงแบรนด์ของธุรกิจได้อีกด้วย
- Content ด้านการตลาดหรือการขายที่ดีควรประกอบไปด้วยคุณสมบัติเหล่านี้
- มีความสนุก : สนุกในที่นี้ไม่จำเป็นต้องตลกโปกฮา แต่ทำให้ลูกค้าสนุกไปกับการขายของเรา
- มีประโยชน์ : Content ที่มีประโยชน์ไม่มีวันตาย คือ content ที่สอดแทรกไปด้วยความรู้ fact ข่าวสารต่างๆ
- มีความสม่ำเสมอ : Content ที่ดีจะเกิดผลก็ต่อเมื่อเรานำเสนอบ่อยๆ ทำให้คนทั่วไปเกิดการรับรู้การขายของเรา
- ตรงกลุ่ม : สร้างคอนเทนต์ที่ตรงกลุ่มลูกค้า นอกจากจะประหยัดกว่าแล้วยังมีโอกาศปิดการขายได้มากกว่าอีกด้วย
- ในปัจจุบันการนำเสนอสินค้าหรือการสร้างคอนเทนต์ต่างๆ ยังต้องคำนึงถึงกฎระเบียบของโซเชียลมีเดีย ที่ต้องระวังในการพาดพิงถึงเรื่องที่ละเอียดอ่อน
องค์ประกอบการสร้างคอนเทนต์ที่ดี
4. แพงแค่ไหนก็คุ้ม
- กลยุทธ์การขายสินค้าเพื่อให้ได้ขายสินค้าจำนวนมากไม่ใช่การขายตัดราคาไปเรื่อยๆ จนสินค้ากลายเป็นไม่มีค่าในตลาด แต่มันคือการทำให้ราคาของสินค้านั้นคุ้มค่าต่อการซื้อ
- ธุรกิจอาจจะเริ่มต้นที่ การวิเคราะห์ต้นทุน กำไร และราคาตลาด แต่หลังจากนั้นคือการกำหนดคุณค่าของตัวสินค้า
- การที่สินค้าของเรามีราคาสูงไม่ได้หมายความว่าสินค้าจะขายได้ยาก แต่ร้านค้าจำเป็นต้องหากลุ่มลูกค้าที่ต้องการและมองเห็นความคุ้มค่าของสินค้า
- แต่ทั้งนี้เราต้องดูปัจจัยทิศทางราคาตลาดของสินค้าชนิดนั้นประกอบด้วย เพื่อที่จะไม่ได้กลายเป็นจุดด้อยทางการขาย
- ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจขายสินค้าจากไม้แกะสลัก เช่น จานไม้ซึ่งทำมาจากไม้ที่ราคาแพง เราจะเทียบราคาตลาดไปกับสินค้าที่ทำจากวัสดุอื่น ที่ต้นทุนต่ำกว่าไม่ได้
- กลับกันเราต้องวิเคราะห์จากกลุ่มสินค้าที่ใกล้เคียงกัน ถึงแม้ว่าราคาของสินค้าเราจะสูงแต่หน้าที่ของเราคือการทำให้ลูกค้าเห็นว่าราคาที่สูงนี้มันแลกด้วยกับคุ้มค่า
5. ลูกค้าคือครอบครัว
- เมื่อก่อเรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า ลูกค้าคือพระเจ้า แต่ปัจจุบันนั้น หลายธุรกิจใช้คำว่า ลูกค้าคือครอบครัวเพราะมันดูอบอุ่นและใกล้ชิดเป็นกันเองมากกว่า
- การปฏิบัติต่อลูกค้าเสมือนเป็นครอบครัวเป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างความผูกพันและความไว้วางใจ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง
- แล้วทำยังไงหละ จะทำให้ลูกค้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวธุรกิจของเรา? หนึ่งในปัจจัยนั้นก็คือการที่เรานำเสนอสินค้าหรือบริการของเราที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าอย่างจริงใจ
- วิธีการขายที่แข็งกระด้างและขายแบบตรงเกินไป มันแสดงถึงกำแพงบางอย่างที่กั้นระหว่างคนขายกับลูกค้า
- การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการที่เป็นมิตร การให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ หรือการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยให้ลูกค้าจดจำและมีความประทับใจในธุรกิจของเรา
6. สินค้ามีดีในตัว
- ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจอะไรก็ตามแต่ เจ้าของธุรกิจต้องคำนึงก่อนว่าสินค้าที่เราจะขายนั้นมีคุณภาพแค่ไหน ซึ่งหากเราเป็นผู้ผลิตก็ต้องคำนึงไปจนถึงกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน
- หากธุรกิจของเราเป็นงานบริการก็ต้องมีมาตรฐานในการชี้วัดคุณภาพของบริการด้วยเช่นกัน
- เพราะสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพอยู่ในตัวนั้นสามารถขายได้ง่ายกว่าสินค้าที่คุณภาพต่ำหรือบริการแย่
- ทั้งนี้คุณภาพของสินค้าก็ต้องการ การนำเสนอสินค้าด้วยจุดเด่น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้สินค้าโดดเด่นในตลาด
- การรู้ว่าจุดเด่นของสินค้าคืออะไร เช่น
- การออกแบบที่สวยงาม
- ความทนทาน
- ฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย เป็นต้น
- ขอยกตัวอย่างในกรณีของร้าน “เนื้อแท้” ที่ทางร้านจะโฆษณาและนำเสนอคุณภาพของเนื้อเป็นหลัก สามารถนำไปทำเมนูต่างๆ มากมายก็อร่อยทุกเมนู เป็นต้น
7. แพลตฟอร์มคืออาวุธ
- การใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ให้เกิดประโยชน์คือใช้ให้ตรงตามคุณสมบัติของแพลตฟอร์ม เป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายธุรกิจและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัล ตัวอย่างแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น
- แพลตฟอร์มสำหรับทำคอนเทนต์ : Facebook , Instagram , TikTok
- แพลตฟอร์มการขายโดยเฉพาะ : Shopee , Lazada
- แพลตฟอร์มการติดต่อ : Line Official , WhatsApp
- การที่ธุรกิจเลือกใช้แพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับสินค้า รวมไปถึงลูกค้า เปรียบเสมือนการได้อาวุธที่ทรงพลังอยู่ในมือ
- ธุรกิจควรมีการใช้ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Instagram Stories, Facebook Live หรือ TikTok Challenges ในการขายช่วยเพิ่มความน่าสนใจและการมีส่วนร่วมจากผู้ติดตาม
- รวมถึงการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และเปรียบเสมือนแหล่งข่าวสำหรับลูกค้าเพื่ออัพเดทจากทางร้านค้า
- การขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Lazada, Shopee, และ JD Central ก็เป็นอีกช่องทางที่ไม่ควรมองข้าม การใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้สินค้าเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น
- และแพลตฟอร์มเหล่านี้มักมัแคมเปญส่งเสริมการขายที่ไม่ควรพลาด ธุรกิจต้องคอยอัพเดทจากทางแพลตฟอร์มอยู่เสมอ
การใช้งานแพลตฟอร์มตามคุณสมบัติเด่นของมัน
8. Brand Story
- “Just Do It” แค่คำ 3 คำนี้ หลายคนก็คงนึกถึงแบรนด์ Nike อย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะอะไร? เพราะ Nike ได้สร้างแบรนด์ที่มาควบคู่พร้อมสโลแกนอันทรงพลังนี้ ทำให้ลูกค้าทั่วโลกจดจำมัน
- การพัฒนาเรื่องราวและภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Story) เป็นสิ่งสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดตัวตนและคุณค่าเฉพาะของแบรนด์
- ภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและสอดคล้องจะช่วยให้ลูกค้าจดจำและรู้สึกผูกพันกับแบรนด์
- ทั้งนี้รวมไปถึงการสร้างโลโก้และสโลแกนที่โดดเด่นเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญด้วยเช่นกัน เช่น
- Nike แบรนด์สินค้าเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา มีโลโก้เครื่องหมาย Swoosh พร้อมสโลแกนอย่าง “ Just Do It” ที่เรียบง่ายแต่มีความหมายที่ทรงพลังแฝงอยู่ในนั้น
- ดังนั้นธุรกิจที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและนำเสนอออกไปได้อย่างตรงจุด ย่อมได้เปรียบในการขายแก่ลูกค้า
ภาพลักษณ์ของแบรนด์
9. ขยายตลาดใหม่
- การขยายตลาดใหม่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและเพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ธุรกิจควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาตลาดใหม่ๆ เจาะลึกตลาดอย่างละเอียดเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับ
- พฤติกรรมผู้บริโภคที่ที่เราจะไปขยายตลาด
- ความต้องการของลูกค้า
- แนวโน้มทางธุรกิจในพื้นที่ที่สนใจ
- ในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ลูกค้าก็จะมีความแตกต่างกันไปด้วยทั้งในเรื่องของ วิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำเนินชีวิตที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภค นี่คือเรื่องที่ธุรกิจต้องทำการบ้าน
- การขยายตลาดใหม่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงและการเติบโตให้กับธุรกิจของคุณในระยะยาวอีกด้วย
10 .SEO & SEM
- ในปัจจุบันโลกของเราต้องใช้คำว่าเป็นยุคธุรกิจแบบดิจิทัลเต็มตัว ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีและการตลาดดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างไม่ต้องสงสัย
- อาจจะเริ่มต้นด้วยการสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและสวยงาม ตอบสนองต่อการใช้งานบนทุกอุปกรณ์และมีเนื้อหาที่ชัดเจนและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้
- หนึ่งในนั้นก็คือการใช้ SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ธุรกิจของเรา
- สิ่งเหล่าเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้น เพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของธุรกิจจาก Search Engine
- เพิ่มยอดขายได้มากขึ้นโดยการคลิกเข้าชมเว็บไซต์และซื้อสินค้า ซึ่งเปรียบเสมือนหน้าร้านของธุรกิจ
11. Data Analysis
- ในการทำธุรกิจปัจจุบันนั้นสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยมและมาแรงสุดๆ ก็คือ การใช้การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) ที่จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- ข้อมูลที่ว่านั้นก็มีหลายข้อมูล อย่างการเก็บข้อมูลการซื้อสินค้าและพฤติกรรมลูกค้า ข้อมูลเหล่านี้สามารถรวบรวมได้จากหลายแหล่ง
- ข้อมูลจากการซื้อสินค้าออนไลน์ที่แพลตฟอร์มจะบันทึกไว้
- การตอบแบบสอบถาม
- การติดตามพฤติกรรมบนเว็บไซต์
- วิเคราะห์ข้อมูลแล้วยังไงต่อ? วิเคราะห์ข้อมูลก็เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ารวมถึงการจัดโปรโมชั่นที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า
- หนึ่งในกระบวนการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลก็คือ ระบบ CRM (Customer Relationship Management)
- CRM = การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า จะช่วยให้สามารถติดตามการติดต่อและประวัติการซื้อของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
12. เทรนด์ไหนมาแรง?
- ในโลกความเป็นจริงธุรกิจและการตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กำเนิดกระแสหลัก กระแสรอง ไวรัลต่างๆ ซึ่งการขายสินค้าหรือธุรกิจต่างๆ ควรตามกระแสเหล่านี้ให้ทัน
- การปรับกลยุทธ์การขายให้สอดคล้องกับเทรนด์ เมื่อเรารู้ว่าเทรนด์ใดกำลังมาแรงก็ควรนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงแผนการตลาดและการขาย
- การทำคอนเท้นต์เพื่อการโฆษณาให้สอดคล้องกับเทรนด์ปัจจุบัน
- การทำโปรโมชั่นที่สอดคล้องกับเทรนด์ในปัจจุบัน
- การทำ Influencer Marketing หรือ การตลาดแบบใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการเฉพาะกลุ่มหรือแบบกว้าง ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สามารถปรับใช้ตามเทรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณจะช่วยเพิ่มการมองเห็น เพิ่มการเข้าถึงระหว่างสินค้ากับลูกค้า เพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้า
- การเลือก Influencer ที่ตรงกับภาพลักษณ์แบรนด์และมีผู้ติดตามที่สนใจสินค้าในกลุ่มเดียวกันจะช่วยให้แคมเปญการตลาดมีโอกาศประสบความสำเร็จสูง
13. คิดนอกกรอบ
- ธุรกิจที่คิดนอกกรอบได้ก่อนก็มีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ก่อน ดึงดูดลูกค้าได้ก่อน
- การมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการขายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการคิดนอกกรอบในการขายสินค้าหรือดำเนินธุรกิจ
- การนำเสนอสินค้าในรูปแบบพิเศษแปลกใหม่
- การร่วมมือกับธุรกิจอื่นเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน
- การนำเสนอโปรโมชั่นที่ไม่เหมือนใคร
- การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อที่แปลกใหม่
- ตัวอย่างการคิดนอกกรอบของป้าย Billboard ที่นำเสนอซีรี่ยเรื่อง Dracula ใน YouTube ทำให้ผู้ชมทั่วโลกชื่นชมในไอเดียที่เจ๋งและแปลกใหม่ในครั้งนี้อย่างมาก
- ซึ่งตัวละครอย่าง Dracula นั้น เป็นที่รู้กันว่าตัวเขาไม่สามารถโดดแสงอิทตย์ได้ ป้าย billboard จึงทำให้ Dracular ปรากฏโฆษณาเฉพาะตอนกลางคืน
14. พันธมิตรดี ธุรกิจแกร่ง
- การหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่ส่งเสริมกัน จะช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การร่วมมือกับพันธมิตรจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มโอกาสทางยอดขายให้กับธุรกิจ
- การร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายใหม่
- การเปิดร้านในทำเลใหม่ๆ
- การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่พันธมิตรมีอยู่
- ตัวอย่างธุรกิจที่จับมือเป็นพันธมิตร
- “ไทยน้ำทิพย์” ผนึกเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ “ตลาดไท” เพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนร่วมกัน
- Netflix จับมือ Microsoft เป็นพันธมิตร ช่วยดูแลแพ็คเกจราคาประหยัดแบบมีโฆษณาคั่น
15. ต่างประเทศคือความท้าทายใหม่
- บางธุรกิจที่ทำการตลาดในไทยมายาวนานรวมถึงฐานลูกค้าในไทยก็มีมากมาย พอถึงจุดอิ่มตัว การมองหาทางใหม่ๆ ไปยังต่างประเทศน่าจะตอบโจทย์ที่สุด
- ซึ่งการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศเป็นขั้นตอนที่สำคัญและท้าทายซึ่งสามารถนำมาซึ่งโอกาสในการเติบโตอย่างมากของธุรกิจ
- การศึกษากฎระเบียบและความต้องการของตลาดต่างประเทศเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ
- กฎระเบียบทางการค้า
- มาตรฐานการผลิต
- ภาษี
- ข้อกำหนดในการนำเข้าและส่งออก
- ความต้องการของลูกค้าต่างประเทศ
- อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า การหาพันธมิตรในต่างแดนอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการช่วยธุรกิจของเราเติบโตได้ไม่ยาก
- ประเทศใหม่ สถานที่ใหม่ ลูกค้าใหม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายที่น่าสนใจซึ่งมีผลรางวัลคือยอดขายที่เติบโตหากทำสำเร็จ
16. นวัตกรรมเปลี่ยนโลก
- ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของมนุษย์แทบจะทุกอย่างนั้นนอกจากการตลาดดิจิทัลที่สำคัญมากๆ นวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ธุรกิจทั่วโลกกำลังแข่งขันกัน
- นวัตกรรมคืออะไร? นวัตกรรม (Innovation) คือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์และนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้หรือสังคม ซึ่งจำแนกได้ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ใหม่ (Product Innovation)
- กระบวนการใหม่ (Process Innovation)
- นวัตกรรมในด้านการบริการ (Service Innovation)
- นวัตกรรมในด้านธุรกิจ (Business Model Innovation)
- ยกตัวอย่าง 2 ยักษ์ใหญ่ของวงการสมาร์ทโฟนที่ทั่วโลกต่างรู้กันว่า 2 บริษัทนี้แข่งขันกันในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีมาโดยตลอด Apple vs Samsung
- ผลดีจากการแข่งขันกันในด้านนวัตกรรมนั้น ส่งผลต่อลูกค้าทั่วโลกที่ได้สินค้าที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
- อีกทั้งการแข่งขันของบริษัทที่พัฒนาด้านนวัตกรรมในหลายๆ รูปแบบ นวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจอื่นๆ สามารถขยายและเติบโตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
นวัตกรรมในแต่ละด้าน
17. โปรแกรมสมาชิกและสิทธิพิเศษ
- การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ใกล้ชิดกับธุรกิจนั้น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ
- โดยการพัฒนาโปรแกรมสมาชิกและสิทธิพิเศษเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้าและแบรนด์จะทำให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่าและมีเหตุผลในการกลับมาซื้อสินค้า
- การสร้างโปรแกรมสมาชิกที่มอบสิทธิพิเศษและส่วนลดต้องออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
- การให้ส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิก
- การมอบของขวัญในวันเกิด
- การให้สิทธิพิเศษในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
- การใช้ระบบสะสมคะแนนเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ
18. Event Marketing
- การใช้การตลาดเชิงกิจกรรม (Event Marketing) เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความตื่นเต้นและการรับรู้ต่อแบรนด์ เช่น การจัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ที่น่าตื่นเต้นเป็นวิธีหนึ่งในการดึงดูดความสนใจจากลูกค้าและสื่อมวลชน
- หากพูดถึงการตลาดเชิงกิจกรรม ก็จะนึกถึงงานแสดงสินค้าหรืองานแฟร์ แต่ที่จริงอาจจะรวมถึงการจัดกิจกรรมทางออนไลน์ด้วยก็ได้
- งานแสดงสินค้า เป็นสถานที่ที่รวมกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในสินค้าและบริการแบบเดียวกัน การมีบูธที่โดดเด่นและการนำเสนอสินค้าที่น่าสนใจจะช่วยดึงดูดลูกค้าเข้ามาชมและทดลองใช้สินค้าของเรา
- รวมไปถึงการจัดกิจกรรมชุมชนเพื่อสร้างการรับรู้และความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบท้องถิ่น กิจกรรมชุมชนอาจรวมถึงการจัดกิจกรรมสาธารณะ เช่น
- การจัดสัมมนาให้ความรู้
- การจัดเวิร์กช็อป
- การจัดงานเทศกาลที่เชื่อมโยงกับสินค้าและบริการ
- ส่วน Event Marketing แบบออนไลน์นั้นคอนเซปต์ก็คล้ายงานแสดงสินค้า แต่ช่องทางในการรวมตัวกันคือบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นหลัก
- ตัวอย่างข่าวการใช้ Event Marketing ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์
- แบบออนไลน์ เทศกาล Street Food เสมือนจริง ครั้งแรกในโลก
- แบบออฟไลน์ เนื้อแท้เล่นใหญ่ครบรอบ 10 ปี เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “แองกัสของเนื้อแท้”
Event Marketing – “เนื้อแท้”เปิดตัว Black Angus
19. บริการหลังการขายดึงดูดใจลูกค้า
- การทำการตลาดให้ลูกค้าเชื่อมั่นและเกิดความพึงพอใจสูงสุด ใช่ว่าจะขายสินค้าที่มีคุณภาพ การตลาดน่าดึงดูดแล้วจบไป แต่เป็นการที่ธุรกิจยังรักษาบริการหลังการขายที่ดีไว้ได้ต่างหาก
- การบริการหลังการขายก็มีหลายรูปแบบ เช่น
- การเสนอบริการติดตั้งหรือการบำรุงรักษา สำหรับสินค้าที่ต้องการความชำนาญพิเศษ
- การให้คำแนะนำในการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้อง หลังการขาย
- การให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า
- การรับประกันและเคลมสินค้า
- การสร้างโอกาสในการขายผ่านการบริการเพิ่มเติมไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสร้างความพึงพอใจและความภักดีในระยะยาว
20. Eco-friendly Marketing
- เชื่อว่าทุกคนทั่วโลกรู้กันดีถึงวิกฤติการของโลกเราที่เกี่ยวกับ ภาะวะโลกร้อน ปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ธุรกิจทั้งขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่ต้องตระหนัก
- ใช้การตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly Marketing) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม
- การทำ Eco-friendly Marketing ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนโดยการดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภค
- ตัวอย่างการตลาดแบบ Eco-friendly
- สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายหรือรีไซเคิลได้
- สร้างความตระหนักและการเชื่อมโยงของบริษัทกับความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม
สรุป
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียง 20 ไอเดียวิธีขายที่ธุรกิจสามารถนำไปต่อยอดได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสินค้าหรือบริการทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ถึงแม้ว่าในโลกของการตลาดนั้นจะมีแนวคิดหรือวีธีการขายอีกเป็นร้อย เป็นพัน แตกต่างตามแต่ละยุคสมัยก็ตาม ดังนั้น ธุกิจทั้งหลายจึงต้องไม่หยุดนิ่งและพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ทำการตลาดแบบก้าวหน้าเพื่อประโยชน์แก่ทั้งตัวธุรกิจเองและลูกค้าในระยะยาว