Meta Description :
CFD คืออะไร?
CFD (Contract for Difference) เป็นการลงทุนแบบสุดคูลที่ทำให้เทรดเดอร์อย่างเราสามารถเก็งกำไรจากการขึ้นหรือลงของราคาสินทรัพย์ต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องซื้อสินทรัพย์จริงๆ เช่น หุ้น, ทองคำ, น้ำมัน หรือแม้แต่ Bitcoin!
แล้ว CFD ทำงานยังไงล่ะ?
สมมติว่าเราอยากจะซื้อหุ้น Apple แต่ไม่อยากถือหุ้นจริง เราสามารถเทรด CFD ของหุ้น Apple ได้ ซึ่งเมื่อราคาหุ้นขึ้น เราก็ได้กำไร และถ้าเกิดราคาของหุ้นนั้นลง เราก็ขาดทุน และนี่ก็คือกลไกของ CFD แบบสรุปง่ายๆ แต่ข้อดีคือ เราไม่ต้องกังวลเรื่องการเป็นเจ้าของหุ้นจริงๆ!
ข้อดีข้อเสียของ CFD
ข้อดี | ข้อเสีย |
เก็งกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง : ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ไหนจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ก็เล่นได้หมด! | เสี่ยงสูง : Leverage เหมือนดาบสองคม เพิ่มทั้งโอกาสและความเสี่ยงก่อนจะใช้เทรดเดอร์ต้องระวัง! |
Leverage : เริ่มต้นเทรดด้วยเงินน้อย ก็สามารถทำกำไรเยอะๆได้ | ค่าใช้จ่ายแอบแฝง : สเปรด , ค่าคอมมิชชั่น อาจจะมาแอบลดกำไรเราได้ |
ไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง : ไม่ต้องเป็นเจ้าของหุ้น แต่ยังเก็งกำไรได้ | ไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง : ไม่มีสิทธิ์ได้ปันผลหรือผลประโยชน์อื่นๆ จากสินทรัพย์นั้น |
แล้ว Leverage คืออะไรล่ะ?
ถ้าเทรดเดอร์นำคำว่า “Leverage” ไปแปลตรงตัวก็จะได้ว่า “การงัด” ซึ่งในแง่ของฟิสิกส์มันหมายถึงเครื่องมือที่ช่วยยกของหนักได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ามาในโลกของการเทรดแล้ว “Leverage” นี่แหละคือเครื่องมือวิเศษที่ช่วยเสริมพลังให้เทรดเดอร์สามารถเทรดได้มากขึ้นหลายเท่าตัว! หรือก็คือLeverage ทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสทำกำไรได้เยอะขึ้นโดยใช้เงินลงทุนที่น้อยลง แต่เทรดเดอร์ต้องไม่ลืมว่าโอกาสในการขาดทุนก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะทุกครั้งที่ตลาดขยับ Leverage ก็จะขยับทั้งกำไรและขาดทุนแบบจุกๆ ไปในทิศทางเดียวกัน
Leverage ใช้กับ CFD ยังไง?
- สมมติว่า Leverage ที่โบรกเกอร์ให้คือ 1:100 นั่นหมายความว่า ถ้าเทรดเดอร์มีเงินแค่ 1,000 บาท แต่สามารถเทรด 100,000 บาทได้! เจ๋งใช่ไหม?
- ตัดสินใจเทรด 1,000 บาท กับ CFD ของหุ้น Apple โดยใช้ Leverage 1:100 ดังนั้นเทรดเดอร์ก็สามารถเทรดได้สูงสุด 1,000 บาท × 100 (ที่เป็นจำนวนของ Leverage) = 100,000 บาท
ข้อดีข้อเสียของ Leverage
ข้อดี | ข้อเสีย |
ทุนเงินน้อย ได้กำไรมาก : เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะเพื่อเริ่มต้นการเทรด นี่แหละคือพลังของ Leverage ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้! | เพิ่มความเสี่ยง : ถ้ากราฟไม่เป็นไปตามที่วิเคราะห์ งานนี้ได้ขาดทุนหนัก เพราะการใช้ Leverage ไม่ได้แค่ทำให้กำไรมากขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากขึ้นเหมือนกัน |
เปิดโอกาสให้มือใหม่ : เทรดเดอร์มือใหม่ที่มีทุนจำกัดก็สามารถเข้ามาเล่นในตลาดใหญ่ๆ ได้ง่ายๆ ด้วย Leverage ไม่ต้องมีเงินก้อนใหญ่ก็เริ่มเทรดได้ | ต้องบริหารดีๆ : การใช้ Leverage สูงโดยไม่มีการจัดการความเสี่ยงก็เหมือนเอาเงินไปทิ้ง การใช้ Leverage ต้องบริหารเงินให้เป็น! |
Lot คืออะไรสำคัญไหมกับการเทรด?
คิดซะว่ามันเป็นหน่วยวัดสำหรับการซื้อขายในโลกของเทรด ถ้าสำหรับเทรดเดอร์ที่เป็นมือใหม่แล้วยังไม่เห็นภาพลองคิดภาพนะครับ Lot ก็เหมือนขนาดของการซื้อขายนั่นเอง! ถ้าเทรด 1 Lot ใน Forex ก็แปลว่ากำลังซื้อหรือขายสกุลเงินเป็นจำนวน 100,000จุด! ใหญ่มากเหมือนกำลังซื้อของทั้งลัง! แต่ถ้าแพ็คใหญ่น่ากลัวไป ไม่ต้องห่วง เพราะเทรดเดอร์สามารถเลือก Lot เองได้ เหมือนกับสามารถซื้อของจำนวนน้อยๆก่อนได้นั่นเอง
-
- 1 Lot = 100,000 จุด
- 0.1 Lot = 10,000 จุด
- 0.001 Lot = 1,000 จุด
สรุปง่ายๆเกี่ยวกับ Lot และ Leverage
ยิ่งเลือก Leverage ที่เยอะๆเทรดเดอร์ก็สามารถออก Lot ได้เยอะมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญมากๆที่เหล่าเทรดเดอร์ต้องระวังก็คือยิ่งใช้ Lot เยอะยิ่งต้องมีการ Money Management หรือการบริหารเงินที่ดีต้องมีแผนการเทรดที่ดีไม่งั้นอาจขาดทุนหนักได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกที่สำคัญมากๆอีกนั่นก็คือ การเลือกโบรกเกอร์ที่ดี
การเลือกโบรกเกอร์ที่ดี ต้องทำยังไงดูปัจจัยอะไรบ้าง?
- ใบอนุญาตและความน่าเชื่อถือ : ความปลอดภัยมาก่อน! เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินยกตัวอย่างเช่น CySEC, ASIC หรือ FCA หน่วยงานเหล่านี้ช่วยรับรองว่าโบรกเกอร์ทำงานโปร่งใสและปลอดภัย ตรวจสอบรีวิวดูว่ามีรีวิวจากเทรดเดอร์ไหม และโบรกเกอร์นั้นเปิดมานานหรือไม่ เพราะยิ่งอยู่ในวงการนานยิ่งน่าเชื่อถือ
- ค่าธรรมเนียมและสเปรด : ค่าธรรมเนียมต่ำแต่คุณภาพสูง โบรกเกอร์จะคิดค่าธรรมเนียมในรูปแบบต่างๆ เช่น ค่าสเปรด หรือก็คือ ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและขายยิ่งสเปรดต่ำยิ่งดีมากๆ ถ้าสเปรดต่ำก็จะทำให้เทรดได้คุ้มค่ามากขึ้น ควรเลือกโบรกเกอร์ที่ค่าธรรมเนียมไม่แพงจนเกินไป แต่ยังให้บริการดี
- แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย : เลือกโบรกเกอร์ที่มีแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่าย
- การฝาก-ถอนเงิน : โบรกเกอร์ควรมีช่องทางฝากถอนเงินที่ง่ายและรวดเร็ว เช่น การโอนผ่านธนาคารในประเทศ, บัตรเครดิต, E-wallet หรือคริปโต และที่สำคัญเลยก็คือค่าธรรมเนียม ตรวจสอบว่ามีค่าธรรมเนียมในการฝากถอนหรือไม่ และระยะเวลาถอนเงินรวดเร็วแค่ไหน เพราะบางครั้งเทรดเดอร์อาจต้องการเงินทันที โดยสามารถดูรีวิวจาก Social ต่างๆได้
- เลือกโบรกเกอร์ที่ให้ Leverage ที่หลากหลาย : บางโบรกอาจไม่ได้มี Leverage ให้เหล่าเทรดเดอร์เลือกเยอะมาก ต้องดูดีๆในจุดนี้ เพราะ Leverage ก็สำคัญไม่น้อย
- ฝ่ายบริการลูกค้า : ฝ่ายบริการลูกค้าควรตอบกลับเร็วและช่วยแก้ปัญหาได้จริง ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์นั้นมีทีมซัพพอร์ตที่คุณสามารถติดต่อได้ง่าย นอกจากนี้ยังต้องดูด้วยว่าทางโบรกเกอร์ซัพพอร์ตภาษาไทยไหม
- ลองก่อนตัดสินใจ : เทรดเดอร์สามารถเทรดโดยใช้บัญชี Demo ก่อนก็ได้เพื่อจะหาข้อดีข้อเสียจากการใช้งานจริงเลย ยกตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์จะได้เห็นจริงๆเลยว่าค่าสเปรดส่งผลต่อการเทรดและสำคัญขนาดไหน
- โบนัสต่างๆ : ถ้าเริ่มด้วยโบรกเกอร์ที่มีโบนัสต่างๆเช่น โบนัสเงินฝาก เทรดเดอร์อาจมีโอกาสในการเพิ่มทุนของตัวเองมากขึ้น ทำให้เทรดได้นานมากขึ้น
สอนเปิดบัญชี Exness แบบจับมือทำ
- เริ่มแรกให้คลิกตรงที่ ลงทะเบียน เพื่อเริ่มต้นการเปิดบัญชี
- กรอกข้อมูลต่างๆให้ครบพร้อมตั้งรหัสผ่าน โดยที่ต้องยาว 8-15 ตัวอักษร และมีพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กอย่างน้อยหนึ่งตัว ตัวเลขอย่างน้อย 1 ตัวเลข และอักขระพิเศษอย่างน้อย 1 ตัว เทรดเดอร์หลายคนอาจลืมว่ามีอักขระพิเศษด้วย ตรงนี้ต้องจำดีๆนะครับ!
- เมื่อกรอกข้อมูลต่างๆครบแล้วทางโบรกเกอร์ก็จะให้เทรดเดอร์เลือกบัญชีที่ต้องการเทรด โดยสามารถเลือกบัญชีจริงกับบัญชีทดลอง สำหรับเทรดเดอร์บางคนที่อาจจะยังไม่อยากเทรดเงินจริง หรืออยากจะทดลองระบบเทรดต่างๆก่อน ก็สามารถใช้บัญชีทดลองก่อนได้ แต่เพื่อการสาธิตจะใช้บัญชีจริง เพื่อให้เหล่าเทรดเดอร์สามารถทำตามขั้นตอนต่อๆไปได้นะครับ
- ทำการยืนยันบัญชี โดยขั้นตอนการยืนยันบัญชีก็จะมีแยกออกเป็น 3 แบบแต่ไม่ต้องห่วงเพราะว่าใช้เวลาแค่แป๊บเดียวไม่ถึง 5 นาที
- โดยขั้นตอนแรกสุดของการยืนยันบัญชีนั่นก็คือ ทางโบรกเกอร์จะส่ง Email Verification มาให้กับเหล่าเทรดเดอร์ผ่านทางกล่องข้อความโดยจะเป็นตัวเลข ให้นำตัวเลขไปกรอกเพื่อยืนยัน ง่ายใช่ไหม! แถม email ก็ใช้เวลาส่งมาไม่นานเลย เร็วสุดๆ
- ต่อมาก็จะเป็นการยืนยันผ่านหมายเลขโทรศัพท์ โดยที่โบรกเกอร์จะส่งรหัสมาที่เบอร์ที่เทรดเดอร์กรอก
- กรอกข้อมูลโปรไฟล์เบื้องต้น ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด พร้อมที่อยู่ กรอกให้ครบแล้วอย่าลืมเช็กให้ดีนะครับ!
- ต่อจากนี้ก็ต้องเลือกรายละเอียดต่างๆ ถึงจะดูเยอะแต่ไม่ต้องห่วงเพราะมองแป๊บเดียวก็กรอกได้แล้ว ไม่มีปัญหา ยกตัวอย่างเช่น สถานการณ์ทำงานคืออะไร ทำงานเต็มเวลา พาร์ทไทม์ นักเรียน นักศึกษา มีหมด ถึงจะดูเยอะแต่รับรองว่าเป็นคำถามง่ายๆ มองแป๊บเดียวก็ตอบได้แล้ว
- เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จแล้วก็เข้าสู่ช่วงถัดไปอย่าง การยืนยันตัวตน โดยขั้นตอนนี้ก็ถือว่าสำคัญมากในการที่จะทำให้บัญชีสามารถเทรดได้ เทรดเดอร์ต้องไม่ลืมที่จะเช็กเอกสารดีๆ เพื่อที่จะไม่มีอะไรผิดพลาด
- โดยขั้นตอนแรกในการยืนยันบัญชีก็คือการดูชื่อของตัวเองก่อนว่าชื่อถูกไหม จากนั้นก็ไปสู่ขั้นตอนถัดไปอย่างการอัปโหลดเอกสาร ที่ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างสำคัญ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะไม่ยากเลยแค่ทำตามที่โบรกเกอร์บอกก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
- เลือกประเทศ และ เลือกประเภทของเอกสาร ไม่ว่าจะเป็น หนังสือเดินทาง ใบขับขี่ บัตรประชาชน ใบอนุญาตผู้พำนัก บัตรประจำตัวคนต่างด้าว แต่ที่แนะนำเลยก็คือ บัตรประจำตัวประชาชนหรือใบขับขี่เพราะจะง่ายและสะดวกที่สุด จากนั้นก็ถ่ายรูปเอกสารที่เราเลือก โดยที่เน้นให้รูปชัดและข้อมูลครบถ้วน
- เมื่อเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปเลยก็คือการฝากเงินเข้าบัญชีแล้วเริ่มเทรด แต่ก่อนที่จะฝากเงินได้ก็ต้องมีบัญชีก่อน เปิดง่ายแป๊บเดียวไปดูเลย!
- เริ่มแรกให้เทรดเดอร์เลือกประเภทบัญชีที่ต้องการเปิดโดยแต่ละบัญชีก็จะมีความแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะงง เพราะสรุปมาให้แล้วครับ
ชื่อบัญชี | Standard | Pro | Raw Spread | Zero | Standard Cent |
จุดเด่น | บัญชียอดนิยม | สเปรดต่ำไม่มีค่าธรรมเนียม | สเปรดต่ำค่าธรรมเนียมต่ำ | สเปรด 0 | บัญชีมาตรฐานที่ใช้ Micro Lot |
เงินฝากขึ้นต่ำ | $10 | $1,000 | $1,000 | $1,000 | $10 |
สเปรด | เริ่มที่ 0.20 | เริ่มที่ 0.10 | เริ่มที่ 0.00 | เริ่มที่ 0.00 | เริ่มที่ 0.30 |
ค่าคอมมิชชั่น | ไม่มีค่าธรรมเนียม | ไม่มีค่าธรรมเนียม | สูงสุด $3.50 | เริ่มที่ $0.05 | ไม่มีค่าธรรมเนียม |
- จะเห็นได้ว่าบัญชีแต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป เทรดเดอร์สามารถเลือกตามที่สะดวกได้เลย เมื่อเลือกบัญชีที่ต้องการเปิดได้แล้ว ต่อมาก็ถึงขั้นตอนการลงรายละเอียดของบัญชี โดยที่บัญชีที่ใช้สาธิตเป็นบัญชี Standard แต่ถ้าเทรดเดอร์ท่านไหนถนัดใช้บัญชีประเภทอื่นก็สามารถเลือกได้เลยนะครับ!
- Leverage ที่ทางโบรกเกอร์เลือกให้เป็นค่าเริ่มต้นคือ 1:2000 แต่เทรดเดอร์สามารถปรับเปลี่ยนตามความสะดวกได้เลย โดยสามารถเลือกได้ถึง 1:ไม่จำกัด ถือว่าดีมากๆ แต่ก็มาพร้อมเงื่อนไขนั้นก็คือ ในบัญชีซื้อขายจริง จะต้องมีสถานะที่ปิดแล้วอย่างน้อย 10 สถานะ (ไม่รวมคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า) และจะต้องมีการเทรดอย่างน้อย 5 Lot
- เลือกสกุลเงินที่ถนัด แนะนำว่า USD ก็สะดวกในการใช้ แต่สำหรับเทรดเดอร์ที่อยากดูเป็นสกุลเงินบาทไทยก็ได้เหมือนกันครับ เอาตามที่สะดวกและเข้าใจได้ง่ายที่สุดเป็นหลักเลย
- ขั้นตอนต่อมาก็คือการ ตั้งชื่อบัญชี และตั้งรหัสบัญชี โดยที่รหัสต้องมีความยาว 8-15 ตัวอักษร และมีพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กอย่างน้อยหนึ่งตัว ตัวเลขอย่างน้อย 1 ตัวเลข และอักขระพิเศษอย่างน้อย 1 ตัว สำหรับใครที่อาจไม่คุ้นเคยสำหรับการมีอักขระพิเศษในการตั้งรหัสผ่านก็ต้องจำในจุดนี้ดีๆนะครับ!
- เมื่อเราได้บัญชีแล้วทางโบรกเกอร์จะบอกให้เทรดเดอร์เติมเงินเข้าบัญชีเพื่อเทรด ใกล้จะได้เทรดแล้วครับอีกแค่ไม่กี่ขั้นตอน
- เมื่อกดเติมเงินเข้าบัญชีทางโบรกเกอร์ก็จะให้เลือกว่าจะต้องการฝากผ่านช่องทางไหน โดยหลักๆ จะมี 3 ช่องทางคือ Thai QR Payments , Neteller , Skrill โดยช่องทางที่ง่ายและแนะนำที่สุดคือการฝากแบบ Thai QR Payments หรือการฝากผ่านการสแกน QR Code จะง่ายและสะดวกที่สุดเพราะสามารถใช้ธนาคารไทยสแกนได้เลย แต่สำหรับเทรดเดอร์ที่สะดวกใช้การฝากแบบ Neteller หรือ Skrill ก็สามารถทำได้ โดยทั้ง 2 ช่องทางจะเป็น กระเป๋าเงินดิจิทัล ที่ทั่วโลกให้การยอมรับและสามารถไว้วางใจได้ แต่อาจจะแฝงไปด้วยค่าธรรมเนียมในการฝากนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับตัวเทรดเดอร์เลยครับว่าสะดวกฝากผ่านช่องทางไหน
- การฝากผ่าน Thai QR Payments ใช้เวลาไม่นานเงินก็เข้าแล้ว เร็วและสะดวกมากๆ เมื่อเงินเข้าพอร์ตแล้วเท่านี้ก็พร้อมเทรดแล้ว สำหรับเทรดเดอร์หน้าใหม่ที่อาจจะไม่รู้จะทำยังไงต่อก็ไม่ต้องกังวลเพราะว่าต่อไปนี้จะสอนตั้งแต่การเข้าสู่ระบบการเทรด ถึงการเริ่มออกออเดอร์แรกเลย ไปดูกันเลยครับ!
- เมื่อกดไปที่ปุ่มเทรด ทางโบรกเกอร์จะให้เราเลือกช่องทางการเทรดโดยมีอยู่ 2 ช่องทางนั่นก็คือ ผ่าน Exness Terminal หรือจะเป็น MetaTrader 5 โดยเทรดเดอร์สามารถเลือกตามที่ถนัดได้เลย แต่ถ้าจะให้แนะนำเลยคือการเทรดผ่าน MetaTrader 5 หรือชื่อที่หลายคนอาจได้ยินคือ MT5
- เมื่อเลือก MT5 มาแล้ว ทางโบรกเกอร์จะให้เทรดเดอร์โหลดตัว MetaTrader 5 พร้อมให้ชื่อเซิร์ฟเวอร์ พร้อมเลขบัญชี MetaTrader มาให้ ต้องจำตรงนี้ให้ดีนะ!
- เมื่อโหลด MT5 มายังเครื่องแล้วให้เปิด MetaTrader 5 Exness ขึ้นมาจากนั้นก็จะมีหน้าต่างนี้เด้งขึ้นมา จำเลขบัญชีเมื่อกี้ได้ไหมครับ? เอาเลขนั้นมากรอกตรงคำว่า Login พร้อมกรอกรหัสที่เราตั้งไว้(อย่าลืมอักขระพิเศษที่ตั้งไว้ด้วยนะ!!)
- จากนั้นให้เลือกเซิร์ฟเวอร์ตามที่ได้มาจากโบรกเกอร์ แต่อย่าสับสนนะระหว่าง Real กับ Trial ดูดีๆนะครับเพราะเซิร์ฟเวอร์เยอะมากๆและไม่เหมือนกัน
- เมื่อเข้าสู่ระบบได้แล้วเท่านี้ก็พร้อมเทรดแล้วอาจจะมีหน้าต่างมากมายอย่าเพิ่งงงนะครับ เริ่มแรกอาจมีกราฟของสินทรัพย์อะไรขึ้นมาให้ปิดไปก่อน จากนั้นให้มองไปที่ตัวบวกตรงที่ click to add เพื่อเพิ่มหุ้นที่เราต้องการที่จะเทรดขึ้นมาเลยครับ
- เมื่อเพิ่มหุ้นโดยการพิมพ์ชื่อไปแล้ว โดยการสาธิตจะใช้เป็นหุ้นของ Apple หรือ APPL นะครับจากนั้นเมื่อกราฟของหุ้นนั้นขึ้นมาแล้ว เครื่องมือเบื้องต้นที่เทรดเดอร์จะต้องรู้ก่อนการเทรดนั่นก็คือ
- Tool Bar หรือเครื่องมือต่างๆที่จะช่วยให้การเทรดสะดวกขึ้น ยกตัวอย่างเช่นมี Fibonacci หรือจะเป็นการปรับ Timeframe ก็สามารถทำได้ตรงจุดนี้
- การปรับแท่งเทียนก็เป็นอีกจุดสำคัญในการเทรด โดยแท่งเทียนที่แนะนำก็คือแท่งเทียนญี่ปุ่น หรือ Japanese Candles แล้วทำไมแนะนำให้ใช้แท่งเทียนนี้ล่ะ? นั่นก็เพราะว่าเป็นแท่งเทียนที่ดูง่าย สามารถดูจุดที่ราคาเปิดราคาปิด จุดที่ราคาสูงสุดต่ำสุดได้ง่าย สะดวกสำหรับเทรดเดอร์ที่เพิ่งเริ่มเทรด
- สามารถเพิ่ม Indicator พื้นฐานต่างๆได้โดยการใช้ Indicator นั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญกับเหล่าเทรดเดอร์ แต่ถ้าหากว่าอยากลอง Indicator เยอะๆหรืออยากลองตีเส้นต่างๆใน MetaTrader อาจจะยังดูยากสำหรับมือใหม่ แนะนำให้ใช้ TradingView ที่ง่ายต่อการใช้งานมากกว่าและสะดวกมากกว่า นอกจากนี้ยังมี Indicator และฟีเจอร์ที่น่าสนใจเยอะมากๆ สำหรับเทรดเดอร์คนไหนที่สนใจ มาดูคร่าวๆกันดีกว่า
- สำหรับเทรดเดอร์คนไหนสนใจจะใช้ TradingView แต่กลัวจะงงไม่ต้องห่วงเลยเพราะว่าใช้ง่ายสุดๆ ต่อไปนี้จะสาธิตการใช้ TradingView เพื่อการเทรดหุ้นเบื้องต้นนะครับ โดยเริ่มแรกให้เทรดเดอร์เปิดในหน้าของ TradingView ขึ้นมาจากนั้นพิมพ์หุ้นที่เทรดเดอร์สนใจขึ้นมาเพื่อดูกราฟ
- เมื่อเปิดหุ้นที่สนใจแล้วมีอีก 2 ส่วนที่สำคัญนั่นก็คือ
- เพิ่ม Indicator ที่ชอบโดยเทรดเดอร์มือใหม่ที่อาจจะงงๆ ไม่รู้ว่าจะเริ่มด้วย Indicator ตัวไหนดีสามารถดูคลิปต่างๆเพื่อศึกษาก่อนเทรดจริงได้ โดยอาจเริ่มต้นที่ RSI หรือ MACD
- อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เป็นจุดเด่นของ TradingView นั่นคือมีข่าว Update ตลอดเวลา การที่มีข่าวบอกจะทำให้การเทรดง่ายและสะดวกมากขึ้น
- เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วเท่านี้ก็พร้อมเทรดแล้วครับ โดยเทรดเดอร์สามารถดูกราฟผ่าน TradingView วิเคราะห์กราฟต่างๆรวมถึงสามารถติดตามข่าวสารที่ Update ตลอดเวลา แล้วทำการซื้อขายผ่านทาง MetaTrader 5 เท่านี้ก็สามารถเริ่มเทรดหุ้นได้แล้ว!
สรุปใจความสำคัญ
การเทรดหุ้นนั้นจำเป็นต้องมีการศึกษาให้ดีก่อนลงทุน โดยเทรดเดอร์ที่อาจจะเป็นมือใหม่ที่ต้องการเข้ามาเทรดในตลาดหุ้นสามารถศึกษาและเริ่มเทรดจาก บัญชีทดลองก่อนได้โดยที่ Exness จะมีฟีเจอร์ที่ให้เทรดเดอร์ได้สร้างบัญชีทดลองที่สามารถกำหนดทุนได้อีกด้วย เรียกได้ว่าสะดวกและเป็นประโยชน์มากจริงๆ เทรดเดอร์สามารถใช้บัญชีทดลองในการเทรดโดยที่ตั้งค่าให้บัญชีนั้นมีเงินทุนให้เท่ากับเงินทุนที่เทรดเดอร์มีจริง การเทรดที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้นต้องเทรดเดอร์จะต้องมีความรู้ที่ถูกต้องเพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ